วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำปลาหมึกหวาน

ทำปลาหมึกหวานครับ
วิธีทำ อันดับแรก ทอดปลาหมึกแห้ง (ซื้อจากบางสะพานน้อยครับ) ด้วยไฟอ่อน (ไฟแรงก็ไหม้สิครับ) ต่อไปเคี่ยวน้ำตาลปึก (เพื่อความอร่อยครับ) ใส่น้ำนิดหน่อย พอเดือดนำปลาหมึกที่ทอดแล้วใส่ คนให้เข้ากัน ตักออก รอสักพัก น้ำตาลจะเหนียว จากนั้น ใส่ปากได้เลย

ดำน้ำดูปะการัง

หลังจากพี่ฟลู๊คกับคุณพ่อกลับจากตลาดก็พากันไปขึ้นเรือไปเกาะทะลุ เพื่อดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น เด็ก ๆ ตื่นเต้นใหญ่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของทั้งพ่อ แม่ และลูก คุณพ่อประคองน้องเฟรนด์ แต่พี่ฟลู๊คไปคนเดียวดุ่ย ๆ จากภาพที่เห็นเหมือนถังน้ำส้มเล็ก ๆ ลอยอยู่นั่นแหละ แต่ตอนหลัง ๆ น้องเฟรนด์ว่ายเองสบายเลย คุณแม่ถ่ายภาพอยู่ตามไปทีหลัง ไม่กล้าลงน้ำ กลัวเพราะเคยจมน้ำ พี่ฟลู๊คก็น่ารักมารับแม่ที่เรือแล้วพาจูงมือว่ายน้ำชมปะการังในทะเล จับมือและพาทัวร์จนทั่วเลย น่ารักจริง ๆ

ตะวันขึ้น ณ บางสะพานน้อย

จากสวนนายดำ คุณพ่อขับรถเข้าบางสะพานน้อย ไปพักบ้านส่วนตัวของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ต้องขอบคุณในน้ำใจอันงดงามนี้จริง ๆ เด็ก ๆ ได้กางเต้นนอน เสียดายที่บ้านอยู่ต่ำกว่าเนินลมบกที่พัดเข้าสู่ทะเล จึงเปลี่ยนทิศทางการพัดพาลม บริเวณบ้านจึงร้อนอบอ้าวมาก เด็ก ๆ ก็ได้เรียนรู้ตรงนี้ แต่ก็นอนหลับได้ด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำ และตื่นแต่เช้าเปิดเต้นท์มา พี่ฟลู๊ครีบคว้ากล้องถ่ายภาพพระอาทิตย์กำลังขึ้น สวยจริง ๆ น้องเฟรนด์ไม่อยากตื่น เพราะเพลียจากการเดินทาง และท้องเสียด้วย ทานอะไรก็ไม่ค่อยได้ จากนั้นพี่ฟลู๊คก็ไปสะพานปลากับคุณพ่อ เห็นบอกว่ามีปลาเยอะมาก ตบท้ายด้วย "ถ้าได้ไปเห็นขณะที่เขาจับปลาก็ดีสิ แล้วก็อ้อนคุณพ่ออยากไปไดหมีก" อ้างว่า คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ปลาหมึกถึงแม้ว่ามันไม่ถูกจับยังไงมันก็ต้องตายทับถมกันอยู่แล้ว พร้อมพูดด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า "พี่ฟลู๊คจะสงเคราะห์มัน มันจะได้ไปเกิดใหม่เร็ว ๆ และได้บุญที่ได้เป็นอาหารให้กับพี่ฟลู๊ค" แม่ก็บอกว่า "แล้วพี่ฟลู๊คก็จะได้ไปเกิดเป็นปลาหมึกแทนใช่ไหมคะ" เจ้าตัวก็หัวเราะเอิ๊ก "อ้า คุณแม่...เต็ม ๆ" ภาษาวัยรุ่นมาอีกแล้วค่ะ

สู่จุดหมายใหม่

ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก็ลาลุงคุ้ง เพื่อเดินทางต่อ จุดหมายคืออำเภอบางสะพานน้อยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะนัดกับป้าต๋อยที่นั่น ระหว่างทางแวะไปเยี่ยมสวนนายดำ อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ที่นี่คุณแม่เคยแวะตอนช่วงมาตรวจงานทางใต้ ประทับใจส้วม และสวน ชอบมาก เป็นอะไรที่ฝันอยากจะทำ คือสวนที่ใส่ idea เก๋ไก๋ เป็นสวนที่ใคร ๆ มาเยี่ยมชมแล้วยิ้มอย่างมีความสุขได้ ตอนที่แวะก็ใกล้ค่ำแล้ว เด็ก ๆ กำลังหลับสบาย แต่พอเห็นสวนกับส้วม ลืมไปเลยความง่วง ขนาดน้องเฟรนด์ยังนั่งส้วมเจน ข้างส้วมทาซานนานมาก (เพราะท้องเสีย) จนพี่ฟลู๊คต้องขึ้นไปตาม แต่พอปีนขึ้น แล้วอ้อมไปด้านหลังเหลือบไปเห็นบันไดหินทางขึ้นจริง ๆ ก็ร้อง "โอย คุณแม่ทำไมไม่บอกหนูตั้งแต่แรกครับ เล่นเอาขาพี่ฟลู๊คสั่นเลย ยังคิดอยู่ว่าถ้าคนปวดมาก ๆ จะทำยังไงเนี่ย" สาวน้อยได้ยินก็ยิ้มแบบแหย ๆ (เพราะยังปวดท้องอยู่) แต่ปากก็โพล่งไปว่า "น้องเฟรนด์ยังรู้เลย" แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ หลังจากนั้น ความซนเริ่มต้นอีกแล้ว ต่างพากันปีนขึ้นส้วมยักษ์ ส้วมคุณหญิง ส้วมคุณชาย และอีกหลาย ๆ แห่ง จนเป็นที่พอใจก็บายที่แห่งนี้พร้อมความประทับใจ เจ้าคนโตยังพูดแพลมออกมาอีกว่า "คุณแม่ฮะ เราน่าจะขอยืมที่สวนคุณยายที่ฮอดปลูกต้นไม้เยอะ ๆ ทำสวนแบบนี้บ้างเนาะ พี่ฟลู๊คชอบ ลดโลกร้อนด้วย"

เยี่ยมเมืองตรัง

หลังจากเล่นน้ำกันนานพอสมควร คุณพ่อก็ให้เตรียมตัวเดินทาง คุณลุงคุ้ง เป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนสภาราชินี 2 อำเภอเมืองตรังให้ไปเยี่ยมด้วย คุณลุงพาไปแวะชมหลายแห่ง อาทิ... บ้านอดีตนายกชวน หลีกภัย สวนสาธารณะพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีก่อนพาไปทานอาหารร้านน่ารักแห่งหนึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร และฝากหมูย่างรสอร่อยไปทานด้วย
ที่บ้านอดีตนายกชวนเปิดเป็นบ้านรับรองต้อนรับทุก ๆ คนมานั่งสนทนากันเรียกว่าเป็นสภากาแฟก็ว่าได้ มีศาลา กาแฟ โอวัลติน น้ำร้อน ให้พร้อม ทานเสร็จล้างเก็บด้วย ภายในบริเวณบ้านปลูกต้นไม้พันธุ์หายากหลายชนิด จำไม่ได้ แต่สดชื่นเหมือนไปฟอกปอด เลี้ยงไก่ฟ้าด้วย แต่ไม่ชอบตอนที่มันตีกันนี่แหละ อากาศข้างนอกร้อน แต่ที่นี่เย็น เด็ก ๆ บอกว่า "ถ้าโลกเรามีต้นไม้เยอะ ๆ อย่างนี้คงไม่เกิดภาวะโลกร้อน ทำไมเขาไม่ปลูกกัน พี่ฟลู๊คเห็นเขาปลูกต้นไม้เตี้ย ๆ ปลูกกันทำไม ไม่เข้าใจ" น้อยเฟรนด์ก็เป็นแม่พลอย "ช่าย...ไม่เข้าใจ" แล้วเด็ก ๆ ก็ชวนคุณแม่ไปปลูกต้นไม้ที่บ้านเชียงใหม่อีก ปลอบคุณแม่ด้วยนะว่าที่มันตายไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ให้ปลูกใหม่ (เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้ที่บ้านเชียงใหม่ร้อยกว่าต้น กะว่าจะนำไปขยายพันธุ์ที่สวน แต่ไม่ได้ทำระบบน้ำอัตโนมัติไว้ เพราะช่วงที่ปลูกเป็นหน้าฝน พอมาอยู่กรุงเทพฯ นานวันเข้าไม่ได้กลับ มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณพ่อเด็ก ๆ กลับเห็นหญ้ารกก็เลยหาคนมาถางหญ้า ปรากฏว่า ต้นไม้ทุกต้นที่ปลูกไว้แต่ยังเล็กอยู่ถูกฟันราบเป็นหน้ากลองเลย คุณแม่ก็เลยเศร้า แต่ก็พยายามหาตอต้นไม้ เพราะถ้ามันแข็งแรงก็ยังมีโอกาสขึ้น ก็พบบ้าง ก็ช่วยกรุยดิน เอาใบไม้คลุม ใส่น้ำ ใส่ปุ๋ย และหลังจากกลับจากเชียงใหม่ครั้งหลังสุดสิ้นปี 2551 คุณกงกับคุณยายไปที่บ้านบอกว่าหญ้าขึ้นเต็มอีกแล้ว ต้นไม้ตายเกลี้ยงเพราะไม่มีน้ำ แต่ต้นที่คลุมใบไม้อยู่ไม่ตาย คุณแม่ก็ยิ้มออกได้บ้าง แต่สงสารต้นไม้จังมันคงทั้งร้อน ทั้งหิว คิดถึงมันแล้วก็เศร้า เด็ก ๆ เข้าใจ พวกเขาจะบอกทุกครั้งว่าคุณแม่อยากปลูกอะไรเขาจะช่วยปลูก และปลูกให้เยอะกว่าเดิม) ขอบใจมากจ๊ะเด็ก ๆ
สำหรับพระยารัษฎานุระดิษฐ์ เป็นเจ้าเมืองคนแรกของตรังที่นำเอากล้ายางมาจากมลายู ทำให้คนใต้มีรายได้จากการปลูกยางเป็นพืชเศรษฐกิจ เด็ก ๆ ชอบใจในความใหญ่โตของต้นไม้ในสวนสาธารณะแห่งนี้ หินก็ก้อนใหญ่มาก แต่มาสะดุดตรงดอกไม้สีม่วงแต่ถ่ายออกมาเป็นสีน้ำเงิน ถามเหตุผลไปตลอดทาง ลุงคุ้งก็เลยอธิบายว่าบางครั้งการผสมสีของกล้องถ่ายรูปอาจทำตามที่ธรรมชาติมีไม่ได้ เด็ก ๆ ร้อง "อ๋อ" จบข่าว

ทะเลยามเช้า

เด็ก ๆ พากันตื่นแต่เช้าไปเล่นน้ำ ช่วงที่ไปน้ำทะเลลง มีซากสัตว์ทะเลทั้งเปลือกหอย ปู ปลา มาเกยบก ทรายทะเลก็สีเข้มขึ้น เด็ก ๆ เห็นรูปูเป็นรูปต่าง ๆ มากมาย ไล่จับปูเสฉวนตัวเล็ก ๆ อย่างสนุกสนาน บังเอิญเหลือบไปเห็นซากปลาหมึก พี่ฟลู๊คไม่แน่ใจว่าตายหรือยัง เพราะมันใสอยู่ น้องเฟรนด์บอกว่ายังดิ้นอยู่เลย แต่จริง ๆ แล้วมันดิ้นเพราะคลื่นน้อย ๆ จ๊ะ พี่ฟลู๊คบอกว่า "พี่ฟลู๊คว่าแล้ว เพราะถ้ามันดิ้นคงไม่ปล่อยให้ดูนานอย่างนี้หรอก แล้วปลาหมึกมันไม่นอน มันต้องว่ายเอาหนวดหุบอย่างนี้ (ทำท่าให้ดูด้วย) แสดงว่ามันเพิ่งตายเพราะตัวยังใสอยู่เลย" แม่ก็ถามว่า "งั้นตัวที่ขุ่นก็ตายนานแล้วสิ" พี่ฟลู๊คตอบว่า "ใช่" แม่ก็บอกว่า "แสดงว่าลูกก็ทานซากสัตว์ที่ตายนานแล้วพร้อมฟอร์มาลีนฉีดศพ" เด็ก ๆ "แหวะ แม่ไม่น่าพูดเลย กะจะเอาไปย่างอยู่พอดี แต่น่าสงสารมันจัง ฝังดีกว่า" ว่าแล้วก็พากันเอาทรายทะเลกลบฝังเจ้าปลาหมึกที่น่าสงสารนั้น แล้วมีการบอกมันว่า "ไปสู่สุขคติเถิด" ด้วยนะ
อ้อ!จากการที่ไปคุณพ่อก็บอกว่าระวังเปลือกหอยบาดเท้า เด็ก ๆ ตอบรับ และบอกต่อว่า "จริง ๆ แล้วเป็นการช่วยบดเปลือกหอยให้ละเอียดเร็วขึ้นนะจะได้เป็นทรายเร็ว ๆ ไง"
อีกเรื่องคือ คุณแม่มักจะให้เด็ก ๆ บ้วนน้ำเกลือหลังแปรงฟัน แต่คราวนี้ลืมเอาเกลือมา เด็ก ๆ บอกว่า "ตักน้ำทะเลมาบ้วนได้เลย เยอะแยะ" แม่เลยค้อนขวับเข้าให้แล้วบอกว่า "งั้นลงไปในทะเลทั้งอมทั้งอาบเลยละกันนะ" หัวเราะกันใหญ่

แวะเที่ยวตรัง

ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่สถาบันราชมงคลตรัง ที่นั่นบรรยากาศเป็นป่ามาก ๆ ชอบตรงทะเล ตอนแรกเด็ก ๆ จะลงทะเล แต่มันบ่ายสามโมงกว่า ๆ แดดเปรี้ยงเลย ลมแรงด้วย ก็เลยพาไปดูเต่าทะเล และการแสดงของนากแสนรู้ เด็ก ๆ ชอบใจใหญ่ พี่ฟลู๊คบอกว่า "ถ้าคุณกงกับคุณยายมาเห็นถ้าจะชอบใจ คราวหน้ามาตรังเราพาคุณกงกับคุณยายมากันอีกนะครับ" แค่นี้คุณแม่ก็ปลื้มแล้วจ๊ะที่เด็ก ๆ มีความสุขแล้วอยากให้ผู้อื่นมีความสุขเช่นเดียวกับตน

ทุ่งสง นครศรีธรรมราช

ไหว้พระที่เขาถ้ำตลอด ใกล้ ๆ ที่พักที่อำเภอทุ่งสง นครศรีธรรมราช ถ้ำมีความยาวประมาณไม่ถึง 100 เมตร แต่ก็พอเห็นธรรมชาติที่มีอยู่บ้าง เช่น หินงอกหินย้อย มีพระพุทธรูปปางไสยยาสน์องค์โต ภาพเขียนที่ลางเลือนเกี่ยวกับพุทธประวัติ แต่เสียดายที่เป็นพื้นซีเมนต์ราดตลอดทั้งภายในถ้ำ และมีการทำประตูเหล็กกั้นทางเข้าออก ที่นั่นเด็ก ๆ ได้โหนเถาวัลย์ขนาดสูงใหญ่และยาวมาก และเห็นใบไม้แปลก ๆ เอามาโยนเล่นคล้าย ๆ ลูกยาง แต่ไม่ใช่ เพราะมันมีใบเดียว เด็ก ๆ เก็บมาเป็นกำ แต่ลืมเอาออกจากที่เก็บ ราขึ้นเลยต้องทิ้งไป คุณพ่อปลอบว่าเอาไว้ค่อยไปเก็บใหม่ ที่นั่นมีสวนสาธารณะใกล้ ๆ เด็ก ๆ สนุกกับของเล่นเด็กที่สนามเด็กเล่น ช่วงที่ไปเป็นช่วงสงกรานต์พอดี ปีนี้ไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์ครับ ที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะมาเล่นกันที่สวนสาธารณะแห่งนี้ เพราะมีสระน้ำขนาดย่อมอยู่หน้าสวน เด็ก ๆ ที่นี่พากันกระโดดสระน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน เห็นเขาเล่นแล้ว เด็ก ๆ อยากเล่นบ้าง และบอกว่า "ที่นี่คนเขาไม่ค่อยเล่นน้ำสงกรานต์กันเท่าไหร่เลย นึกถึงสงกรานต์ที่เชียงใหม่ สนุกมากเลย ยิ่งตอนที่ไปเล่นน้ำที่คูเมือง พูดแล้วอยากไปอีกจังเลยครับ" แต่น้องเฟรนด์หลุดปากมาว่า "ใช่ค่ะ แต่หนูหนาว เพราะตอนนั้นมีแต่คนรดน้ำหนูคนเดียวเลย" มาที่นี่คุณพ่อบอกว่าเด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองตลอด คุณพ่อจะเตรียมอาหารไว้ให้แล้วไปตัดสินกีฬาที่สนามกีฬาทุ่งสง ที่พักอยู่ในตลาดตรงข้ามกับ 7-eleven สะดวก ซักผ้าตากบนดาดฟ้า ถึงเวลาเจ้าคนโตก็ไปเก็บ ตากแป๊บเดียวก็แห้งเพราะแดดร้อนมาก บางครั้งฝนตกกระทันหันแม่บ้านที่ดูแลที่พักก็เก็บไว้ในที่ร่มให้ เด็ก ๆ สนุกกับการใช้ชีวิตอิสระได้ตัดสินใจเอง ได้ดูการ์ตูน ต่อเลโก้ วาดรูป อ่านหนังสือที่ชอบอยู่ในห้องพัก บางครั้งเบื่อ ก็จะจูงมือน้องข้ามถนนเพื่อเดินไปหาคุณพ่อที่สนามกีฬา เจ้าของ เจ้าหน้าที่ของโรงแรมรู้จักว่าเป็นลูกของอาจารย์ที่มาตัดสินบาส ก็จะช่วยกันดูแลถามไถ่เป็นอย่างดี คุณแม่ตามไปทีหลัง เห็นอีกทีอ้วนตุ๊บเชียว ดูแข็งแรงและพูดจาฉะฉาน และอ่อนน้อมขึ้น เด็ก ๆ ได้คลุกคลีกับผู้ใหญ่ที่สนิท เช่น อาตั้ม เด็ก ๆ มักจะดุอาตั้มที่สูบบุหรี่เสมอ จนพักหลังอาตั้มต้องแอบสูบที่อื่น พี่ Harvy ชาวฟิลิปปินส์ ที่เด็ก ๆ สนิทไปด้วย เพราะเขาจะคุยอังกฤษปนไทยผสมระหว่างการทำกิจกรรมร่วมกันด้วย อยู่ที่นั่นเกือบครึ่งเดือนจนได้เพื่อนที่เขาต้องตามพ่อแม่ไปตั้งของเล่นตามงานต่าง ๆ เล่นของเขาทุกวันจนเด็ก ๆ ได้เล่นของเล่นฟรี และคุยกันรู้เรื่องแต่ก็ยังอาย ๆ เพราะภาษาใต้มักจะห้วน ๆ และช่วงนั้นพี่ฟลู๊คก็ยังเผลอพูดภาษาเหนือออกมาบ้างบางคำ (แล้วจะรู้เรื่องกันมั๊ยเนี่ย) แต่ยังไงก็เก่งมาก เพราะอยู่ที่นั่นต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ เด็ก ๆ บอกว่ามาใหม่ ๆ พยายามฟังถ้าเขาพูดภาษาใต้ฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่ตอนช่วงที่แม่อยู่ด้วยที่นั่น บางครั้งเวลาพูดกับแม่ก็แอบล้อเลียนแม่เป็นสำเนียงใต้มาบ้างเหมือนกันนะ

เบอร์ 5 เลโก้

คุณแม่ซื้อเลโก้เล็ก ๆ มาให้ น้องเฟรนด์กับพี่ฟลู๊คหัดต่อตามแบบ แต่ก็ยังมีอารมณ์ศิลปิน ต่อเสร็จช่วยกันจัด background และถ่ายภาพให้คุณแม่กับคุณพ่อขำอีกจนได้ ปัจจุบันต่อเก่งขึ้นไม่ต้องดูแบบแล้ว เลยไม่ค่อยเล่นเท่าไหร่เพราะต่อแล้วไม่อยากแกะ...กว่าจะทำได้ เขาบอกว่า "แทบตาย" เอาไว้หายเสียดายแล้วค่อยแกะใช่ไหมคนดี

ณ เมืองกาญจน์

ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2552 น้องเฟรนด์กับคุณแม่ตามพี่ฟลู๊คกับคุณพ่อไปช่วงกีฬาเยาวชนที่เมืองกาญจน์ ถือโอกาสไปเที่ยวที่ทางรถไฟสายมรณะ ไปพิพิธภัณฑ์ (อี๋ย...ย น่ากลัวจัง) เห็นของแปลก ๆ เยอะเลยค่ะ เด็ก ๆ ชอบปืนและรถโบราณ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นไอศครีมปากทางเข้าน่ะค่ะ สิ่งที่ได้เรียนรู้ตอนที่ไปคือความเก่าแก่ ความพยายามในการเก็บรักษา ความพยามก้าวข้ามอุปสรรคของเชลย การกดขี่ข่มเหงความเป็นมนุษย์ แม้กระทั่งความตายที่เป็นเรื่องธรรมดา
เด็ก ๆ ถามว่า "คนที่เป็นเชลยยังมีอยู่ไหมครับ"
คุณพ่อเข้าใจว่ายังมีเชลยรอดชีวิตอยู่หรือเปล่า เลยตอบว่า "น่าจะมีแต่ป่านนี้คงแก่มาก ๆ หรือไม่ก็เป็นปุ๋ยไปแล้วมั๊ง"
พี่ฟลู๊คยิ้มแล้วบอกว่า "ถ้าเขายังอยู่พี่ฟลู๊คอยากคุยด้วยจัง"
สาวน้อยก็ถามต่อว่า "งั้นลูกหลานเขาก็มีนะสิคะ"
"ใช่" แม่ตอบ
พี่ฟลู๊คพูดสวนกลับทันทีว่า "แสดงว่าคนเมืองกาญจน์เป็นลูกครึ่งกันเยอะแน่ ๆ เลย เพราะมีตั้งหลายเชื้อชาติแน่ะ"(ถามแบบยิ้มอย่างมีเลศนัย)
แม่ก็ถามว่า "ทำไมคิดอย่างนั้น"
หนุ่มน้อยก็ตอบว่า "ก็สมัยก่อนทั้งทหาร ทั้งเชลยส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง และคนที่นี่ตัวใหญ่ เออ..แต่ทำไม่ดำจัง"
คุณแม่บอกว่า "อากาศที่นี่เป็นอย่างไร" เด็ก ๆ จึงร้อง "อ๋อ...สีเหมือนหนูเลย"
พี่ฟลู๊คถามต่อว่า "คุณกงเป็นคนจีนใช่ไหมฮะ" แม่บอกว่า "ลูกครึ่งกงต้าวจีน 100% อาม่า 75%"
"งั้นคุณกงก็เอา 175 หาร 2 ก็ได้ 80 กว่าเปอร์เซนต์ คุณยายไม่มีเชื้อจีนใช่ไหมฮะ (แม่ตอบใช่) งั้นคุณแม่หารอีกครึ่งก็ได้ 40 กว่าเปอร์เซนต์ เหลือมาถึงพี่ฟลู๊คก็ 20 กว่าเปอร์เซนต์ นะสิ เย้! พี่ฟลู๊คกับน้องเฟรนด์ก็มีเชื้อเหมือนกันนะเนี่ย" (สาวน้อยยิ้ม)
คุณแม่ถามว่า "มีเชื้อโรคเหรอครับ" หนุ่มน้อยตอบทันควัน "ไม่ใช่ครับ เชื้อสายจีน"
แม่ก็บอกว่า "อ๋อ งั้นถ้ามีเชื้อสายจีนก็น่าจะรู้ว่าคนจีนเขารู้สึกอย่างไร ตอนคุณแม่เล็ก ๆ คุณลุงเคยสอนภาษาจีนบ้าง แต่แม่ไม่ได้ใช้ลืมหมดแล้ว ถ้างั้นเรามาเรียนรู้ภาษาจีนด้วยกันมั๊ย จะได้สื่อสารกับคนจีนรู้เรื่อง แต่แม่สมองแก่แล้วสู้ลูกไม่ได้ ถ้าเรียนแล้วต้องช่วยสอนแม่นะ ทบทวนให้แม่ด้วยดีมั๊ย"
หนุ่มน้อยกับสาวน้อยตอบ "O.K. ค่ะ/ครับ"

ความพยายามต่อเนื่อง

เกือบสำเร็จและยังไม่เสร็จต้องช่วยกันทำเก้าอี้ให้เสร็จอีก น้องเฟรนด์เริ่มก่อนเลยล่ะ บอกว่า "ชอบละเลงกาว สนุกดี ถ้าพอกทั้งตัวให้ขาวได้หนูคงจะพอกแล้วนะเนี่ย" ตรงพื้นที่เป็นสีน้ำตาลรูปหัวใจคือผลงานสบู่ที่หัดทำกับคุณแม่ (เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552) เจ้าตัวเล็กเลือกพิมพ์อบไข่กับไมโครเวฟ บอกว่า "มันสวยดี แบ่งหัวใจให้พี่ฟลู๊ค พี่ภัส พี่ปอม แลที่เหลือก็ของหนู" ตอนทำบ่นเหลือเกินว่า "ทำนานจังตอนเคี่ยวเนี่ย แต่ชอบตอนที่สบู่เปลี่ยนเป็นสีส้ม และอุณหภูมิร้อนขึ้นเรื่อย ๆ" ทำกัน 2 คนพี่ฟลู๊คไปต่างจังหวัดกับคุณพ่อ เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บค่ะ เสียดายเหมือนกัน แต่เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะจ๊ะสาวน้อย

ทำเก้าอี้เพื่อน้องพิการ

เมื่อวันที่ 9-13 มีนาคม 2552 ที่สถาบันราชานุกูลได้จัดอบรมการผลิตเก้าอี้สำหรับเด็กพิการทางสมอง เด็ก ๆ ได้มีโอกาสไปอบรมการทำเก้าอี้เพื่อน้องพิการทางสมองกับคุณแม่ด้วย สนุกสนานกันใหญ่ ตั้งแต่ฉีกกระดาษ กวนกาว ปะกระดาษ ช่วงนั้น เด็ก ๆ เพิ่งจะมากรุงเทพใหม่ ๆ พี่ฟลู๊คยังหัวเกรียนอยู่เลย น้องเฟรนด์คุยจ้อเลย เพราะมีเพื่อนรุ่น ๆ เดียวกันไปด้วย ทั้งน้องภัสลูกพี่เภา และน้องปอมลูกพี่ปู เลยมีแก๊ง 3 สาว เพิ่งจะเจอกัน แต่ก็เล่นกันจนติดหนึบแยกไม่ออก ยิ่งพามาทำกิจกรรมร่วมเด็ก ๆ ช่วยกันละเลงกาวและช่วยกันปะใหญ่ แต่เจ้าฟลู๊คกับหนูปอมขยะแขยงกาว กลัวเปื้อน และเหนอะหนะ ขอฉีกกระดาษ แจกกระดาษ และแจกกาว ให้ป้า ๆ ยาย ๆ ที่ห้องอบรม สนุกสนานกันตามประสา ระหว่างทำก็มีช่วยจับ ช่วยจัด ช่วยติชมคนอื่นด้วยนะ เห็นเด็ก ๆ มีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็สุขใจจริง ๆ ค่ะ ต้องขอขอบพระคุณคุณลลนา ก้องธรนินทร์ นางสาวไทยปี 2549 ประธานโครงการทำความดีถวายในหลวง ป้าติ๊ก (คุณอุบลรัตน์ ชุนเจริญ) และป้าจุ (คุณจุรีรัตน์) ที่ช่วยจับปูใส่กระด้งได้สำเร็จอย่างน่ารักจริง ๆ ค่ะ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เริ่มต้นที่บ้านเพื่อนดี

"ดีจังครับ มีความสุขจังเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่น่าจะให้หนูเรียนอย่างนี้ตั้งนานแล้ว " (ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่ด้วยกัน)
"หนูรักโรงเรียนค่ะ หนูอยากไปโรงเรียน ไปเยี่ยมเพื่อนเก่า แต่หนูไม่อยากเรียนในโรงเรียน หนูอยากให้แม่สอน" (ช่วงที่ไปเยี่ยมคุณครูและเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเรวดี)
"สนุกมากค่ะ ไม่มีคนว่าอะไร มีคนที่ซื้อไปแล้วกลับมาซื้อใหม่ แต่ส่วนใหญ่ถามว่าทำไมหนูไม่ไปโรงเรียนเหรอ โฮมสคูลเป็นยังไง หนูไม่เหงาเหรอไม่เจอเพื่อน เรียนยังไง ใครสอน แล้วจะรู้ได้ยังไง หนูขึเกียจตอบจังเลยค่ะ บางครั้งเดินหนีเลย" (น้องพูด พี่สนับสนุน "ใช่ ใช่ ขี้เกียจตอบ" (ตอบหลังจากขายเต้าฮวยนมสดที่แม่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างวันนี้สนุกไหม)
"คุณพ่อคุณแม่ครับอนุญาตให้หนูทำแล้ว ไม่ต้องทำให้ เดี๋ยวพวกหนูช่วยกันเอง เรื่องง่าย ๆ ใครขอทำ และใครคนขาย" (พ่อแม่ถูกถามกลับตอนเห็นลูกกำลังสนุกและเข้าไปช่วยทำเต้าฮวยนมสดอย่างขมีขมัน)
"ภาระกิจของหนูยังไม่เสร็จหนูยังหยุดไม่ได้" (ทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ค้างอยู่แล้วแม่บอกว่ามาทานข้าวก่อน)
"หนูไม่ได้โกรธแม่ค่ะ แต่หนูไม่เข้าใจ เขาเห็นว่าเด็กไม่มีหัวใจหรืออย่างไรคิดจะฝากใครก็ได้ หนูไม่รู้จัก หนูไม่ใช่สิ่งของนะ หนูไปกับแม่ก็ไม่ได้จะไปสร้างความวุ่นวายให้ หนูก็เอาหนังสือไปอ่าน เอาสมุดระบายและสีไปด้วย หนูแค่อยากอยู่ใกล้ ๆ แม่" (ความรู้สึกตอนที่ไม่ได้ไปนั่งฟังการอบรมกับแม่ซึ่งจัดต่างสถานที่ และแม่กลับมาขอโทษที่พาไปด้วยไม่ได้เพราะเจ้าของผู้จัดฝึกอบรมไม่อนุญาต)
ฯลฯ
คำพูดเหล่านี้เกิดจากการถ่ายทอดจากความนึกคิดและ จากประสบการณ์ของเด็ก ๆ โดยไม่ต้องมีใครสอน เขาเรียนรู้จากบทเรียนชีวิต แม้ว่าหลายคนจะไม่เห็นด้วยที่จะนำเด็กเข้าสู่บทเรียนแห่งชีวิต แต่พ่อแม่เชื่อว่าเด็กไม่เล็กอย่างที่คิด สังเกตจากคำพูดและการกระทำ จึงเห็นว่าเขาควรรู้ เด็ก ๆ เขารู้ และเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น..และเขาควรทำตัวอย่างไรโดยอัตโนมัติ